ปัจจุบัน การเลือกดื่มน้ำสะอาดเป็นสิ่งสำคัญต่อร่างกาย ถ้าหากดื่มน้ำที่ไม่ผ่านการกรองอาจทำให้ร่างกายได้รับโลหะหนักสะสมจนอาจนำไปสู่โรคร้ายได้ แล้วการดื่มน้ำขวด หรือดื่มจาก เครื่องกรองน้ำ ( Water Ionizer ) ดีละ
น้ำเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับร่างกายของมนุษย์เรา โดยในร่างกายของเรานั้นจะมีน้ำอยู่ประมาณ 60% ของน้ำหนักตัว ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะอยู่บ้าน อยู่คอนโด หรือ อยู่ที่ไหนก็ตาม การดื่มน้ำให้เพียงพอสำหรับร่างกายนั้นเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ในปัจจุบันเรามีตัวเลือกในการบริโภคน้ำได้หลากหลายวิธี เช่น การซื้อน้ำขวดมาบริโภค ทั้งขวดเล็ก ขวดใหญ่ ถังแกลลอน หรือจะเป็นการใช้ เครื่องกรองน้ำ ( Water Ionizer ) ในการกรองน้ำประปาเพื่อนำมาดื่มใช้ แต่ไม่ว่าคุณจะเลือกบริโภคน้ำด้วยวิธีไหนก็ตาม สิ่งที่ตามมาอย่างแน่นอน คือ ค่าใช้จ่าย โดยเราจะมาเปรียบเทียบกันให้เห็นเลยว่า ระหว่างการซื้อน้ำขวด และการใช้ เครื่องกรองน้ำ ( Water Ionizer ) วิธีไหนจะดี และ คุ้มค่ามากกว่ากัน
การเลือกซื้อน้ำขวด
ถ้าหากเราคำนวณดูจากปริมาณน้ำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน จะพบว่า ปริมาณน้ำจะอยู่ที่ 1.5 ลิตร ต่อวันโดยเฉลี่ย ซึ่งเปรียบเทียบได้เท่ากับน้ำ 1 ขวดใหญ่ หากเราบริโภคน้ำ 1 ขวดใหญ่ต่อวัน เราจะต้องซื้อน้ำมาดื่มประมาณ 365 ขวดต่อปี ( คิดเป็นหน่วยปี ) ดังนั้น เราจะมีค่าใช้จ่ายสำหรับน้ำ 365 ขวด อยู่ที่ประมาณ 3,600 บาทต่อปี
วิธีการคำนวณ
น้ำ 1.5 ลิตร 1 แพค ( 6 ขวด ) จะมีราคาอยู่ที่ประมาณ 55 บาท
ในแต่ละเดือนจะใช้น้ำประมาณ 30 ขวด หรือ โดยประมาณ 5 แพค ต่อเดือน
ดังนั้น ค่าน้ำขวดต่อเดือนจะอยู่ที่ 55 x 5 = 275 หรือประมาณ 300 บาท ( คำนวณเผื่อไว้สำหรับเดือนที่มี 31 วัน )
หรือจะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 12 x 300 = 3,600 บาทต่อปี
ซึ่งถ้าหากคิดเป็นราคาต่อลิตร จะอยู่ที่ 7.5 บาทต่อลิตร
ข้อดีของการดื่มน้ำขวด
การเลือกใช้ เครื่องกรองน้ำ ( Water Ionizer )
ราคามาตรฐานของ เครื่องกรองน้ำ ( Water Ionizer ) จะมีราคาอยู่ในช่วงตั้งแต่หลักพันถึงหลักหมื่นบาท ขึ้นอยู่กับคุณภาพของ เครื่องกรองน้ำ ( Water Ionizer ) และ อายุการใช้งาน ซึ่งถ้าหากเป็น เครื่องกรองน้ำ ( Water Ionizer ) ราคาเริ่มต้นที่หลักพัน อาจจะต้องมีการเปลี่ยนไส้กรองบ่อยมากกว่า เครื่องกรองน้ำ ( Water Ionizer ) ที่ราคาสูงขึ้น ดังนั้น การเลือกใช้ เครื่องกรองน้ำ ( Water Ionizer ) จะต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ด้วย ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วไส้กรองทั่วไปสามารถใช้กรองน้ำได้ตั้งแต่ 3,000-5,000 ลิตรต่อปี ซึ่งหากเปรียบเทียบกับน้ำขวด 1.5 ลิตรแล้ว จะเทียบได้กับน้ำขวดประมาณ 2,000 ถึง 3,000 ขวดเลยทีเดียว โดยราคาของไส้กรองจะอยู่ที่ 4,000-5,000 บาท ต่อไส้กรองหนึ่งชิ้น และ หากคิดราคาต่อลิตรแล้ว จะมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ ลิตรละประมาณ 1 บาทเท่านั้น
ข้อดีของ เครื่องกรองน้ำ ( Water Ionizer )
ถ้าหากเราดูจากค่าใช้จ่ายของทั้งสองวิธีในการบริโภคน้ำแล้ว อาจจะเห็นได้ว่า การซื้อ เครื่องกรองน้ำ ( Water Ionizer ) มาใช้นั้นอาจจะประหยัด และ ค่อนข้างดีกว่าในระยะยาว แต่ในขณะเดียวกัน ก็ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ควรนำมาประกอบการตัดสินใจก่อนที่จะซื้อ เครื่องกรองน้ำ ( Water Ionizer ) เช่น พื้นที่ในการวาง เครื่องกรองน้ำ ( Water Ionizer ) ภายในบ้าน ขนาดของ เครื่องกรองน้ำ ( Water Ionizer ) จำนวนคนในครอบครัวเพื่อให้เลือกขนาดได้อย่างเหมาะสม ราคาของ เครื่องกรองน้ำ ( Water Ionizer ) ที่จะต้องลงทุน และ ค่าไส้กรองที่จะต้องเปลี่ยนในแต่ละปีอีกด้วย
ในกรณีที่คุณอยู่บ้านคนเดียว การเลือกซื้อน้ำขวดอาจจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า เพราะสะดวก และ สามารถกะปริมาณการบริโภคอุปโภคน้ำได้ แต่ถ้าหากมีจำนวนคนในที่พักอาศัยค่อนข้างมาก การเลือกใช้ เครื่องกรองน้ำ ( Water Ionizer ) อาจจะเหมาะสมกว่า เพราะจะใช้น้ำได้ไม่จำกัด และ นอกจากสามารถนำน้ำที่ผ่าน เครื่องกรองน้ำ ( Water Ionizer ) มาดื่มได้แล้ว ยังสามารถนำไปประกอบอาหาร และ ใช้สำหรับกิจกรรมอื่น ๆ ภายในบ้านได้อีกด้วย
ดังนั้น ก่อนที่จะเลือกว่าจะบริโภคน้ำด้วยวิธีไหน เราควรคำนึงถึงไลฟ์สไตล์ และ การใช้ชีวิตของตัวเราเองก่อน รวมไปถึงปัจจัยค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันต่าง ๆ ว่าตัวเลือกแบบไหนที่จะเหมาะสมกับเรามากที่สุด
อ่านบทความเพิ่มเติม
Tag :