ความสำคัญของ เครื่องกรองน้ำ ( Water Ionizer )
Share: facebook_share line_share twitter_share messenger_share

ความสำคัญของ เครื่องกรองน้ำ ( Water Ionizer )


เครื่องกรองน้ำ ( Water Ionizer ) ถือเป็นสิ่งจำเป็นมาก ๆ ในปัจจุบันนี้ เพราะน้ำที่เราใช้ดื่มทุกวันเริ่มมีสารเคมีปนเปื้อน ทำให้น้ำไม่สะอาด เพราะฉะนั้นตัวช่วยที่ดีที่สุดคือ เครื่องกรองน้ำ ( Water Ionizer )

 

     เนื่องจากน้ำที่ใช้ดื่มมีสิ่งเจือปนอยู่มาก มีสิ่งแปลกปลอมปนเปื้อนมากกว่า 2,100 ชนิด และหลายชนิดมีอันตรายต่อสุขภาพของผู้ดื่ม นักวิจัยพบว่า แม้ขั้วโลกเหนือก็ยังพบสารตกค้างของยาฆ่าแมลงประเภทดีดีที ซึ่งเป็นยาฆ่าแมลงที่ประเทศพัฒนาเลิกใช้นานแล้ว สามารถพบได้ในก้อนน้ำแข็ง และหิมะที่ขั้วโลกเหนือ เครื่องกรองน้ำ ( Water Ionizer ) จึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อจะกรองสารเจือปนต่าง ๆ ออกไป เพราะการที่เพียงเห็นน้ำใสสะอาด ไม่มีกลิ่น และไม่มีสีจะถือว่าน้ำนั้นเหมาะที่จะดื่มไม่ได้

 

ชนิดของ เครื่องกรองน้ำ ( Water Ionizer )

     ถ้าคุณไม่ใช้ เครื่องกรองน้ำ ( Water Ionizer ) เพื่อกรองสิ่งมีพิษออกจากน้ำ คุณก็ต้องใช้ร่างกายของคุณเองทำหน้าที่เป็น เครื่องกรองน้ำ ( Water Ionizer ) และเอาสิ่งมีพิษต่าง ๆ ที่อยู่ในน้ำมาไว้ในตัวคุณ ผมไม่ต้องการที่จะให้คุณตื่นกลัว แต่ความจริงก็คือความจริง มี เครื่องกรองน้ำ ( Water Ionizer ) ดี ๆ มากมาย ซึ่งคุณควรเลือกด้วยตัวคุณเองว่าชนิดใด เหมาะกับความต้องการของคุณมากที่สุด ต่อไปนี้ คือ เครื่องกรองน้ำ ( Water Ionizer ) ชนิดต่าง ๆ ที่แพร่หลายอยู่ในท้องตลาด มีดังนี้

 

1. แบบ Reverse Osmosis ( หรือ RO )

     ไม่ใช้สารเคมี หรือไฟฟ้า ที่ผลออกมา 99.9 เปอร์เซ็นต์ ปราศจากสิ่งเจือปน แต่เกลือแร่ถูกกรองออก 99.0 เปอร์เซ็นต์เช่นกัน เหมาะสำหรับสถานที่ หรือโรงงานอุตสาหกรรมที่ไม่ต้องการใช้น้ำที่มีเกลือแร่ หรือน้ำกระด้าง ใช้ดื่มก็ได้ถือว่าเป็นน้ำที่สะอาดมากในระดับการดื่ม

2. แบบ Distillation

     คือแบบกลั่น ทำให้น้ำเดือด เกิดเป็นไอน้ำ จากนั้นทำไอน้ำให้เย็นลง กลับมาเป็นน้ำกลั่น น้ำกลั่นนี้ไม่มีสารตกค้าง และไม่มีเกลือแร่ 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่ควรดื่มเพราะไร้แร่ธาตุ

3. แบบ Carbon Block

     ใช้ผงถ่านบดอัดเป็นก้อนเป็นตัวกรองน้ำ มีคุณสมบัติคือ กรองเชื้อจุลินทรีย์ และสารปนเปื้อนได้ เหมาะที่จะใช้ควบคู่กับแบบ 1 และ แบบ 2 ไม่ต้องใช้ไฟฟ้า และเกลือแร่มีในน้ำตามปกติ แต่อายุการใช้งานสั้นมาก

4. แบบ Granular Activated Carbon ( GAC )

     เหมือนแบบ 3 แต่ผงถ่านโตกว่า

5. แบบ Ceramic ( เซรามิค )

     มีรูเล็ก ๆ ให้น้ำผ่านมีประสิทธิภาพสูง การใช้เซรามิคกำลังเป็นที่นิยมมาก เพราะสามารถล้าง และนำกลับมาใช้ใหม่ได้อีก ทำให้ประหยัด เครื่องกรองน้ำ ( Water Ionizer ) ที่มีในท้องตลาด ปัจจุบันมักจะต้องมี Ceramic อยู่ด้วยเสมอ

6. แบบใช้ Ozone ( โอโซน )

     มีอุปกรณ์เพื่อใช้ทำอากาศธรรมดาให้กลายมาเป็นโอโซน ( Ozone Generator ) โอโซนมีพลังในการทำปฏิกริยากับเชื้อจุลินทรีย์ และสารอินทรีย์ต่าง ๆ ในน้ำได้แรงมาก มีประสิทธิภาพ ทำให้น้ำดูใสสะอาด และรสชาติดี เครื่องกรองน้ำ ( Water Ionizer ) แบบใช้โอโซนนี้ต้องใช้ไฟฟ้า และมักใช้ร่วมกับ เครื่องกรองน้ำ ( Water Ionizer ) ชนิดใช้ถ่าน

7. แบบใช้รังสี Ultraviolet ( อุลตร้าไวโอเลต )

     โดยอาศัยตะเกียงไฟฟ้าที่แผ่รังสีอุลตร้าไวโอเลต มีคลื่นความถี่ระหว่าง 200-300 nanometer รังสีนี้จะฆ่าเชื้อโรคได้หมดเว้นเชื้อโรคจะซ่อนตัวอยู่กับผงละออง ทำให้ไม่ถูกกับรังสี มักใช้ร่วมกับ เครื่องกรองน้ำ ( Water Ionizer ) ชนิดถ่าน

8. แบบ KDF ( เคดีเอฟ )

     สามารถกรองคลอรีน เชื้อโรค และโลหะหนัก เป็นที่นิยมใช้มาก และประหยัด ทำด้วยทองแดง และสังกะสี ในรูปของโลหะผสม ทำให้ เครื่องกรองน้ำ ( Water Ionizer ) ชนิดถ่านยืดอายุการใช้งานไปได้ถึง 15 เท่า

9. แบบ Activated Tricalcium Phosphate ( ATP )

     มีคุณสมบัติกำจัดฟลูออไรค์ได้แน่นอน รวมทั้งสิ่งเจือปนต่าง ๆ ไม่ใช้ไฟฟ้า มักใช้ร่วมกับ เครื่องกรองน้ำ ( Water Ionizer ) ที่ใช้ถ่าน เริ่มมีการใช้แพร่หลายมากขึ้น

10. แบบ Ion Exchange หรือเรียกว่า เรซิน ( Resin )

     ไม่ใช้ไฟฟ้า

11. แบบ Iodine Resin

     ใช้ในการทำระบบน้ำดื่มฉุกเฉิน ทำลายแบคทีเรีย และไวรัส ใช้ได้ทนนาน และเหมาะกับประเทศยากจนที่ขาดธาตุไอโอดีน ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคคอพอก โรคเอ๋อ เป็นการกรองน้ำที่ไม่ใช้ไฟฟ้า

 

ขั้นตอนเลือก เครื่องกรองน้ำ ( Water Ionizer )

1. ระบบกรองน้ำ

     น้ำที่เราใช้ดื่มมาจากหลายแหล่ง ไม่ว่าจะเป็นน้ำฝน น้ำบาดาล หรือน้ำประปา ซึ่งไม่ได้สะอาด 100% อาจมีสารเจือปนที่เป็นโทษต่อร่างกาย อาทิ เชื้อโรค พยาธิ แร่ธาตุที่มากเกินพอดีซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดนิ่ว โลหะหนักที่มีปริมาณเกินมาตรฐาน อุปกรณ์กรองในระบบต่าง ๆ จึงถูกผลิตมาเพื่อให้ได้น้ำบริสุทธิ์ที่ปราศจากสารปนเปื้อนมาบริโภค ซึ่งในปัจจุบันระบบการกรองน้ำมีอยู่ 3 ระบบด้วยกัน คือ RO, UV และ UF  ซึ่งแต่ละระบบมีการทำงานที่แตกต่างกัน  ขึ้นอยู่กับพื้นที่ใช้งาน รวมถึงความต้องการการใช้น้ำที่แตกต่าง เช่น หากเป็นพื้นที่ในเมืองที่น้ำประปาเข้าถึง สามารถใช้ได้กับทุกระบบการกรอง แต่สำหรับพื้นที่ที่เป็นน้ำกร่อย ใช้น้ำบ่อ น้ำฝน หรือน้ำบาดาล ระบบ RO จะเหมาะสมมากที่สุด เพราะมีการกรองที่มีละเอียดสูง ทำให้น้ำสะอาดบริสุทธิ์  หรือหากต้องการใช้น้ำที่สะอาดพิเศษ เช่น สำหรับคนรักสุขภาพมาก ๆ ใช้กับเด็ก หรือผู้ป่วยที่ต้องการน้ำบริสุทธิ์ ก็อาจเลือกใช้ระบบ RO เป็นต้น

2. ระยะเวลาการใช้งานของไส้กรอง

     เครื่องกรองน้ำ ( Water Ionizer ) จะมีประสิทธิภาพหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่อายุในการใช้งานของไส้กรองที่แตกต่างกันด้วย หากไม่เปลี่ยนไส้กรองตามอายุในการใช้งาน จะส่งผลต่อประสิทธิภาพในการกรอง เช่น ไส้กรองคาร์บอน มีอายุการใช้งาน 1 ปี, ไส้กรองเซรามิค มีอายุการใช้งาน 1 – 1 ปีครึ่ง, ไส้กรองเรซิ่น มีอายุในการใช้งาน 1 ปี เป็นต้น ตัวไส้กรองควรเปลี่ยนเองได้ หรือมีบริการเปลี่ยนไส้กรองให้หลังการขาย เพื่อให้การใช้งานสะดวก และต่อเนื่อง

3. ขนาดเหมาะกับพื้นที่ ดีไซน์ที่ใช้แต่งบ้านได้

     การเลือก เครื่องกรองน้ำ ( Water Ionizer ) ที่ดีต้องพิจารณาตำแหน่งที่ต้องการติดตั้ง กับขนาดให้มีความเหมาะสมกัน หากเป็นบ้านทั่วไปมีพื้นที่ใช้สอยไม่มาก ควรเลือก เครื่องกรองน้ำ ( Water Ionizer ) ไซส์เล็กกะทัดรัดเพื่อไม่ให้กินพื้นที่ในบ้าน แต่ถ้าเป็นสำนักงานอาจเลือก เครื่องกรองน้ำ ( Water Ionizer ) ขนาดใหญ่แบบตู้ตั้งพื้นที่กดน้ำดื่มได้ในทันที

     สำหรับ เครื่องกรองน้ำ ( Water Ionizer ) บางรุ่นที่ต่อเชื่อมกับก็อกน้ำประปา เจ้าของบ้านมักติดตั้งแขวนผนังไว้บริเวณหลังบ้านใกล้กับก๊อกน้ำ หรือติดตั้งซ่อนใต้เคาน์เตอร์ครัว เพื่อไม่ให้เห็นระบบสายที่รุงรัง ทำให้ไม่ค่อยสะดวกในการใช้งาน หลาย ๆ แบรนด์จึงพัฒนา เครื่องกรองน้ำ ( Water Ionizer ) รุ่นใหม่ ๆ ที่มีรูปลักษณ์ และขนาดหลากหลายขึ้น ในบ้านเล็ก หรือคอนโดลองมองหารุ่นที่ดีไซน์กะทัดรัด ทำงานแบบไร้สายไม่ต้องติดตั้งติดก็อกน้ำ สามารถนำมาตั้งโต๊ะ หรือวางไว้บนเคาน์เตอร์ครัว หรือห้องนั่งเล่นได้ นอกจากฟังก์ชันที่หยิบจับใช้งานง่าย และสะดวกขึ้นแล้ว ดีไซน์ที่ทันสมัยยังทำให้ เครื่องกรองน้ำ ( Water Ionizer ) เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้เป็นเฟอร์นิเจอร์ประดับบ้านได้ด้วย

4. ฟังก์ชันที่เพิ่มความสะดวก

     เครื่องกรองน้ำ ( Water Ionizer ) แต่ละรุ่น แต่ละแบรนด์มักออกแบบให้มีฟังก์ชันแตกต่างกัน บางรุ่นได้เพิ่มความสะดวกในการใช้งาน เช่น หน้าจอแสดงสถานะที่ช่วยให้ง่ายต่อการดูแลเครื่องมากขึ้น เตือนว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนไส้กรอง หรือเกิดปัญหาใด ๆ กับตัวเครื่อง, มีถังเก็บน้ำที่กดดื่มได้ทันที, ปรับอุณหภูมิน้ำร้อน-น้ำเย็น, มีระบบเติมน้ำอัตโนมัติ, ระบบล้างอัตโนมัติ,  เป็นต้น เลือกฟังก์ชันให้เหมาะสม และสอดคล้องกับความต้องการในการใช้

5. บริการหลังการขาย และการรับประกัน

     เพื่อเพิ่มความมั่นใจในคุณภาพของสินค้า ควรพิจารณาบริการหลังการขายประกอบด้วย ดูระยะเวลาการรับประกัน, การคืนสินค้า และการเปลี่ยนสินค้า ซึ่งปกติการรับประกัน เครื่องกรองน้ำ ( Water Ionizer ) จะมีตั้งแต่ 1 – 3 ปี

     เครื่องกรองน้ำ แต่ละระบบถึงแม้จะช่วยกรองน้ำให้สะอาดเหมือนกัน แต่หลักการทำงาน และประสิทธิภาพจะแตกต่างกันออกไป ในการเลือก เครื่องกรองน้ำ ( Water Ionizer ) โดยทั่วไปให้พิจารณาตามหลัก ดังต่อไปนี้

1. สภาพของน้ำดิบที่จะนำมากรอง

     น้ำในเขตตัวเมืองร้อยละ 90 เป็นน้ำประปา ซึ่งสามารถใช้ เครื่องกรองน้ำ ( Water Ionizer ) ได้แทบทุกชนิด ถ้าเป็นน้ำในต่างจังหวัดอาจจะมีน้ำประปา น้ำประปาหมู่บ้าน น้ำบาดาล น้ำบ่อผสมกันไป ซึ่งจะมีสารปนเปื้อนมากกว่าน้ำในเขตตัวเมือง ดังนั้น แล้วถ้าจะให้ปลอดภัยควรเป็น เครื่องกรองน้ำ ( Water Ionizer ) ระบบ RO

2. ลักษณะการใช้งาน

     เครื่องกรองน้ำ ( Water Ionizer ) ในปัจจุบันได้ถูกนำไปรวมกับตู้เย็น ทำให้สะดวกต่อการใช้งาน กรองแล้วสามารถดื่ม หรือชงเครื่องดื่มได้เลย ไม่ต้องนำไปแช่ตู้เย็น หรือต้มอีกที โดยส่วนมากแล้วระบบนี้จะมีราคาสูง นิยมใช้ในสำนักงานเพราะมีคนใช้เยอะ ต้องทำงานให้ทันกับความต้องการการใช้งาน สำหรับการใช้งานตามบ้านใช้ เครื่องกรองน้ำ ( Water Ionizer ) แบบระบบปกติธรรมดา จนถึงระบบ UF ก็ได้

 

สุขภาพที่ดี เริ่มได้ที่ตัวคุณ

ด้วยความปรารถนาดีจาก เครื่องกรอง น้ำด่าง ( อัลคาไลน์ ) ตราแมนเนเจอร์ ( Alkaline Water Ionizer By ManNature )

 

อ่านบทความอื่นเพิ่มเติม

เครื่องกรองน้ำอัลคาไลน์ ( Alkaline Water Ionizer ) จำเป็นจริงไหม

พิจารณาก่อนทำการเลือกซื้อ เครื่องกรองน้ำอัลคาไลน์


Tag :